อาชีพพิธีกร เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่หนุ่มสาวหลายคนต่างใฝ่ฝัน เพราะนอกจากจะได้ออกอากาศผ่านทางสื่อทางหน้าจอโทรทัศน์หรือสื่อโซเซียลแล้ว ยังได้เป็นที่รู้จักในสังคมอีกด้วย แต่คุณรู้หรือไม่ว่ากว่าที่จะมาเป็นพิธีกร หรือผู้ประกาศข่าวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณจะต้องมีความสามารถ มีศิลปะในการพูดต่อหน้าผู้คน อีกทั้งต้องจัดสรรเวลาในการทำงานให้เป็นมืออาชีพด้วย
และวันนี้เราจะพาทุกท่านมารู้จักกับ “จีน นภัสวรรณ มงคลสมบูรณ์” ให้มากขึ้นกับเส้นทางกว่าที่เขาจะมาเป็นพิธีกรรายการบันเทิงได้นั้น เขาต้องเจอะเจออะไรมาบ้าง และเขาเรียนรู้ที่จะก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ จนมาเป็นประสบการณ์ และฝึกฝนอย่างไร เราไปฟังคำตอบเหล่านั้นจากปากเขากันเลย
– แนะนำตัวเองหน่อยจ้า
จีน – นภัสวรรณ มงคลสมบูรณ์ กำลังศึกษาอยู่ปีที่ 4 สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล เอกการผลิตภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม
– ทำไมถึงเลือกเรียนสาขาวิชาเอกนี้
ความโชคดีที่เรายังคงขอบคุณตัวเองทุกวันนี้ แบบเรารู้เร็วมาก ว่าความฝันของเราคือ “การเป็นพิธีกร” ตอนนั้นเข้ามาด้วยรอบ Admission เราก็ต้องเลือกลำดับคณะที่อยากเข้า ช่วงนั้นเราก็เปิดหาข้อมูลเลย ว่าคณะที่เรียนเกี่ยวกับสายนิเทศศาสตร์ในกรุงเทพ มีที่ไหนบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล เราก็เลยเลือกวิทยาลัยนี้เป็นลำดับที่สอง เอาจริงๆเหมือนเป็นพรหมลิขิตนะ เพราะที่นี่ไม่ใช่อันดับหนึ่งในใจของเราเลย เราไม่มีความรู้ด้านภาพยนตร์มากเลย แต่ในเมื่อติดมาแล้วเราก็ต้องเดินหน้าต่อ บวกกับเรามองอีกมุมนึงว่า การทำงานด้านภาพยนตร์อาจพาเราไปถึงฝันได้เหมือนกัน
เหตุผลที่เรียนวิชาเอกการผลิตภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล ก็ต้องบอกอีกค่ะว่า ไม่ใช่ความตั้งใจแรกเหมือนเดิม ฮ่าๆ เพราะว่าตอนแรกอย่างที่บอกว่าเราอยากเป็นพิธีกร ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คงต้องเป็น วิชาเอกการแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์ แต่สำหรับเราพอเรียนปีหนึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจเยอะมากเกี่ยวกับการทำหนัง เคยลองไปนั่งเรียนวิชาเอกการแสดงแล้ว เราก็รู้สึกว่า เอ้ย เราก็ทำได้นิ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ได้เลย นั่นคือ การผลิต ในวิชาเอกนี้จะเน้นไปทางการทำ Production ไม่ว่าจะเป็นกล้อง การจัดแสง การทำเสียง ตอนนั้นเราเป็นศูนย์มาก ในขณะที่เพื่อนๆเขาแบบเป็นกันมาบ้างแล้ว พอเรามองมาที่ตัวเรา เรารู้สึกว่าอยากท้าทายความสามารถตัวเอง อยากมีประสบการณ์ในงานด้านนี้ นี่เลยเป็นเหตุที่ทำให้เราอยากเรียนวิชาเอกการผลิตภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล
แต่ถึงแม้เราจะเรียนวิชาเอกนี้ แต่ด้วยความน่ารักของที่วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิตอล เราก็สามารถเข้าไปนั่งเรียนกับวิชาเอกอื่นๆก็ได้ถ้าหากเราว่างจากการเรียน เราเลยเข้าไปนั่งเรียนการแสดงแบบที่ตั้งใจไว้แต่แรกก็ได้ อาจารย์ทุกท่านก็คือ สนับสนุนหนักมากจริงๆค่ะ
– DJ SWU WAVE
ความตั้งใจที่มาเต็มแต่แรกของเราว่า อยากเป็นพิธีกร การได้ทำงานเกี่ยวกับการพูดในมหาวิทยาลัย คงเป็นบันไดก้าวแรกที่ดีมากแน่ๆ บวกกับเราเคยเป็นพิธีกรและดีเจของโรงเรียนมาก่อนในช่วงมัธยมศึกษา จึงทำให้ความอยากทำงานในด้านนี้ของเรามีมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงนั้นด้วยความเป็นเด็กปี 1 ใหม่ๆแกะกล่อง ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร เราเลยถามรุ่นพี่ในคณะบ้าง ปรึกษาอาจารย์บ้างว่า การที่จะได้เป็นดีเจของมหาวิทยาลัยต้องทำยังไง พอเวลาผ่านไป ทาง SWU WAVE ก็เปิดรับสมัครดีเจหน้าใหม่ ไม่รอช้าสิค่ะ เรารีบลงชื่อเลยจ้า
วันคัดเลือกเราไปเป็นคนสุดท้ายของวัน ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆ เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอรุ่นพี่ SWU WAVE รวมถึงพี่ๆจาก PR SWU พี่ๆทุกคนต้อนรับเราดีมาก วันนั้นมีพี่เจมส์ พี่เฟิร์ส พี่นัท แล้วก็พี่เณศน์ที่คัดเลือกเรา เราได้เข้าไปเห็นห้องจัดรายการ พี่ๆให้เราลองจัดรายการให้ดู พร้อมกับถามคำถามเล็กน้อย พอเราออกมาจากห้องจัดรายการได้ไม่ถึงชั่วโมง ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามา เสียงของพี่เฟิร์สบอกกับเราว่า น้องจีนได้เป็น DJ SWU WAVE นะคะ จำไม่ได้ว่าพูดขอบคุณไปกี่รอบ พอนึกกลับไปถึงการเข้ามาในครอบครัวนี้ พูดเลยว่ามีความสุขมากจริงๆค่ะ
– จาก DJ สู้เส้นทางการเป็นพิธีกรรายการบันเทิงมืออาชีพ
จากเด็กบ้านนอกที่มีความฝันในการทำงานพิธีกร ฮ่าๆ พูดตามตรงเลยค่ะว่า จีนรู้สึกประทับใจมากๆที่ได้ตอบคำถามนี้ เพราะ ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าจะได้เรียกตัวเองว่า พิธีกรรายการ ขอเล่าเรื่องราวก่อนว่า จีนมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ สไปร์ท สไปร์ทเป็นคนเก่งและมีเสน่ห์ในการพูดมากๆ สไปร์ทเป็นพิธีกรคู่ขวัญของจีนมาตั้งแต่ปี 1 เราสองคนมีความฝันเดียวกัน เราได้รับโอกาสการเป็นพิธีกรครั้งแรกในรั้วมหาวิทยาลัย คืองาน Open house 2018 ต่อจากนั้นพวกเราก็ได้ช่วยงานมหาวิทยาลัยมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง สไปร์ท ได้เดินทางไปถึงฝันก่อนจีน เวลาเราเห็นสไปร์ทตามงานหรือรายการ เรารู้สึกยินดีกับเพื่อนมากๆเลยนะ แบบในใจคิดว่าถึงแม้เรายังไปไม่ถึงแต่เพื่อนรักของเรากำลังเดินไปทำฝันของเราแล้ว ทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน สไปร์ทจะบอกจีนเสมอว่า วันหนึ่งเราต้องได้ทำงานด้วยกันในรายการ เดี๋ยวถ้ามีงานอะไรสไปร์ทจะชวนจีนไป
วันนึง สไปร์ทโทรมาหาจีนแล้วบอกว่า อยากให้มาลองพูดหน้ากล้องให้โปรดิวเซอร์รายการฟัง เอาจริงนะ ตอนนั้นเหมือนฝันเลยค่ะทุกคน เราเฝ้ามองความสุขของเพื่อนเรามาตลอด แล้วเราไม่เคยคิดว่า มันจะมีวันของเราอะ พอได้ไปนั่งคุยกับทางพี่โปรดิวเซอร์รายการ พี่โปรดิวเซอร์บอกว่า ไม่ต้องลองหน้ากล้องหรอก ให้มาทำเลยอาทิตย์หน้า โอ้โห ตอนนั้นแบบหัวใจพองโตมาก ดีใจที่สุดจริงๆ ตั้งแต่วันนั้นจึงเป็นโอกาสที่จีนได้ทำพิธีกรรายการ เรียงคิวบันเทิง ข้างๆสไปร์ทในวันนี้ค่ะ ระหว่างทางเดินของจีน เราได้รับโอกาสและกำลังใจแบบไม่เคยขาด จีนไม่เคยลืมเลยนะคะ ว่าใครบ้างที่ทำให้จีนมาถึงทุกวันนี้ ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
– ชื่นชอบอาชีพพิธีกรอยู่แล้วไหม
ตอนเด็กๆจีนเป็นคนที่มีความฝันอยากเป็นนู้นเป็นนี่ไปเรื่อยเลยค่ะ ด้วยความที่เราเป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่ตอนประถม เราเลยได้ทำงานของโรงเรียนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประธานนักเรียน ประธานชุมนุม เป็นดีเจของโรงเรียน รวมถึงเป็นพิธีกรด้วย ตอนนั้นมีอะไรให้ทำก็เอาหมดเลย ซึ่งเป็นข้อดีมากๆนะ คือเราค้นหาตัวเองเจอเร็ว เราพบว่าสิ่งที่ทำแล้ว เราทำได้ดีที่สุด และมีความสุขที่สุด นั่นคือ “การเป็นพิธีกร” ค่ะ
– นอกจากการเป็น พิธีกร ยังมีอาชีพอื่นที่ใฝ่ฝันไหม
คุณครูท่านหนึ่งเคยบอกกับเราว่า “การเรียนทำให้คนมีงานทำ กิจกรรมทำให้คนทำงานเป็น” อย่างที่บอกค่ะว่าเราเป็นคนที่มีความฝันเยอะมาก ส่วนสำคัญที่ทำให้เรามีฝันคือการพาตัวเองเข้าไปทำกิจกรรมที่มีความหลากหลาย เรารู้ว่าขีดจำกัดและความสามารถของเราไปในทิศทางไหนได้ดี เราเลยมองหาตัวเองในหลายๆด้าน
นอกจากการเป็นพิธีกรแล้ว เราใฝ่ฝันอยากทำงานสายโปรดิวเซอร์ เราอยากเป็น ”โปรดิวเซอร์รายการ” เนื่องจากส่วนตัวเป็นคนที่ชอบแก้ไขปัญหา บวกกับชอบจัดการให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานที่ทีมกำหนดไว้ แล้ว เราเรียนวิชาเอกการผลิตภาพยนตร์และสื่อดิจิทัลมาด้วย ที่นี่มีวิชาที่เรียนเกี่ยวกับการเป็นโปรดิวเซอร์ พอยิ่งเรียนไปเรายิ่งรู้สึกว่าใช่ตัวเรามากเลย
ความฝันเรายังไม่หมดนะ ฮ่าๆ มีเป็นพิธีกรรายการกับโปรดิวเซอร์แล้ว สิ่งที่ตั้งใจว่าปลายชีวิตจะทำก็คือ การเป็นอาจารย์ ทุกวันนี้เวลาอ่านหนังสือสอบ เราจะชอบอ่านเยอะๆอ่านหนักๆ เพื่อไปสอนเพื่อนอีกครั้ง เรารู้สึกว่าการได้แชร์ความรู้รวมถึงประสบการณ์ให้กับคนอื่น เป็นอีกอย่างที่เราทำแล้วมันมีความสุข เราแอบวางแผนไว้นะว่า ถ้าเราทำงานไปถึงช่วงอายุนึงที่ประสบการณ์เราหนาแน่นแล้ว เราจะกลับมาสอนหนังสือ สอนในสิ่งที่เรารู้จริงรู้ลึก เพื่อพัฒนาคนต่อไป ยังมีอีกหลายความฝันนะ เราเป็นคนฝันไปเรื่อยๆ ชอบมองตัวเองในอีกหลายๆปีข้างหน้า บอกแล้วค่ะทุกคนว่า เราฝันเยอะมาก ฮ่าๆ
– ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย จัดสรรเวลาในการเรียนและการทำงานยังไง
เรามองว่าเรื่องการจัดสรรเวลาเรียนกับเวลาทำงานให้ไปด้วยกัน มันไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ วิธีของเราคือ เวลาเราจะรับงาน เราควรดูก่อนว่าวันนั้นมีเรียนไหม ถ้ามี ก็จะดูรายวิชาว่าอาจารย์ให้ขาดได้หรือไม่ แต่ส่วนมากถ้าเป็นไปได้เราควรรับงานให้ไม่ตรงกับเวลาเรียนมากที่สุด เพราะ ระบบของมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกับตอนมัธยมน้า แบบไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หากขาดเรียนเกิน 3 ครั้ง ต้องไปดรอปวิชานั้นๆ แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากเราจำเป็นต้องไปทำงานของมหาวิทยาลัยจริงๆ จีนจะลองเข้าไปพูดคุยกับอาจารย์ก่อน ถ้าอาจารย์ให้ส่งใบลาได้ เราก็จะขอให้พี่ที่รับผิดชอบงานทำใบลาให้ ถึงแม้เราจะลาได้แล้ว แต่สิ่งที่ห้ามลืมคือ กลับมาตามบทเรียนและการบ้านจากเพื่อนไม่ให้ขาด หากเกิดกรณีที่อาจารย์ไม่รับใบลา เราก็ต้องมานั่งดูแล้วว่าตัวเองขาดไปกี่ครั้งแล้ว หลังจากนี้ต้องไม่ขาดแล้วนะ อันนี้คือเราต้องมีการจัดการในอนาคตของเราไว้ด้วย
จีนเป็นคนให้ความสำคัญทั้งสองอย่างเท่าๆกันเลย เพราะ การไปทำงานของมหาวิทยาลัยถือเป็นการเก็บประสบการณ์นอกห้องเรียน ส่วนการเรียนก็สำคัญในการพัฒนาด้านวิชาการ แล้วทั้งสองอย่างนี้จะไปด้วยกันได้ไหม ? สิ่งสำคัญเราว่ามันขึ้นอยู่กับ ความรับผิดชอบของแต่ละคน ยิ่งเราโตขึ้น เราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เราว่าการแบ่งเวลาเพื่อการทำงานที่เรารัก ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับทุกคน สู้ๆค่า
– งานพิธีกร สามารถไปช่วยอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนอยู่ได้บ้าง
โอ้โห ช่วยได้เยอะมากๆเลยค่ะ ในสาขาวิชาเอกที่จีนเรียน เป็นเกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ หลายคนอาจจะคิดว่า เราก็แค่ทำหนังหนิ ถือกล้อง จัดไฟ เขียนบทก็ได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงมันมีอะไรมากกว่านั้นค่ะทุกคน อาจารย์ภาพยนตร์จะบอกเสมอว่าชีวิตการเป็นคนทำหนัง เราต้องขายงานให้เก่ง ลูกค้าจะซื้อไม่ซื้อ ก็ขึ้นอยู่กับการนำเสนอของเรา ยิ่งมีทักษะการพูดที่ดีบวกกับมีฝีมือที่ดี เราก็จะได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ ตั้งแต่ปี 1 เลยที่จีนต้องพูดนำเสนอหน้าชั้นเรียน เราขายงานให้กับอาจารย์และเพื่อนๆฟัง จริงๆมันก็เหมือนกับการทำพิธีกรนะ จีนหยิบความเป็นพิธีกรมาใส่เยอะมาก เหมือนเราจะรู้ว่าวิธีที่จะดึงดูดให้อาจารย์กับเพื่อนๆสนใจในสิ่งที่เราพูดคืออะไร ก่อนจะขึ้นพูดเราก็จะทำการบ้านว่าวันนี้เรื่องที่เราจะพูดมีใจความสำคัญตรงไหน พูดด้วยน้ำเสียงยังไง พอมานำเสนอในชั้นเรียน ความตื่นเต้นเอย ความกังวลต่างๆ มันไม่เกิดขึ้นกับเราเลย จริงๆเรามั่นใจว่าทุกคณะสาขาวิชา ที่เน้นการนำเสนอหน้าชั้นเรียน แนะนำเลยว่า การเป็นพิธีกรจะช่วยคุณเป็นผู้นำเสนอที่ดีได้ค่ะ
– มีเทคนิคหรือทักษะในการเป็นพิธีกรที่ดีแนะนำไหม
สิ่งแรกเลยทุกคนต้องเชื่อว่าตัวเองทำได้นะ ทุกคนสามารถเป็นพิธีกรได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองจะเป็นการสร้างพลังชั้นดีให้กับเราเลยจริงๆ ต่อมาจีนว่าเราควรมีพิธีกรในดวงใจสักคน ในที่นี่คือไม่ได้ให้ก๊อปความเป็นเขาคนนั้นมานะ แต่ให้เรานำจุดเด่นและข้อดีของเขามาปรับใช้ในการพูดของเรา เรียกว่าเป็นการหาประสบการณ์จากไอดอล หมั่นดูเยอะๆแล้วเราจะซึมซับเทคนิคการพูดบางอย่างจากพวกเขาโดยที่เราไม่รู้ตัว อย่างของเราเรามีพี่โอปอล ปณิสรา กับพี่กาละแมร์ พัชรศรี เป็นพิธีกรในดวงใจ เราชอบในความเป็นตัวของตัวเองของพี่เขาทั้งสองคนมาก ยิ่งตอนที่พี่เขาจับไมค์พูด พี่เขาดูมีความสง่าขึ้นมาอีกระดับเลย เราเชื่อนะว่า กว่าพี่โอปอลกับพี่กาละแมร์จะมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะมาก ยิ่งย้อนเวลาไปสมัยพวกพี่เขา ตอนนั้นเทคโนโลยีเอย ช่องทางการเป็นที่รู้จักเอย มันยังเยอะเท่าทุกวันนี้ กว่าจะเป็นพิธีกรที่คนไทยทั้งประเทศรู้จักได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องอาศัยความสามารถล้วนๆ แต่ในทางกลับกัน ปัจจุบันมีช่องทางมากมายให้เราเดินเข้าไปในวงการพิธีกร แต่มันจะยากตรงที่ว่า เราจะทำอย่างไรให้คลองใจทุกคนได้นานเหมือนพี่ทั้งสองคน เราว่าการจะเป็นนักพูดที่ดี ขณะเดียวกันเราควรเป็นนักอ่านและนักฟังที่ดีด้วย การเป็นพิธีกรคุณควรเป็นคนที่มีความรู้รอบด้าน รู้มากกว่าในสคริปต์ที่ทางรายการหรือทางผู้จัดจัดการมาให้ เมื่อได้รับหัวข้อมา เราต้องทำการบ้านส่วนตัวไปด้วย พยายามหาข้อมูลเชิงลึกที่คิดว่าเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้ มันถือเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่จะสร้างความน่าสนใจให้กับตัวเรามากยิ่งขึ้น ยามว่างเราควรหาหนังสือหรืออะไรก็ตามที่อ่านแล้วมีประโยชน์ เพื่อเป็นการเพิ่มชุดคำในหัวของเรา ทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า Dead air มันเป็นคำที่น่ากลัวมากสำหรับพิธีกร แต่เมื่อเรามีการฝึกฝน มีความรู้รอบด้าน และมีชุดคำในหัว จีนมั่นใจเลยว่าจะไม่มีการ Dead Air เกิดขึ้นแน่นอนค่ะ พอได้สคริปต์มาก็ควรทำการซ้อมหน้ากระจก เพื่อที่เราจะประเมินตัวเองก่อนได้ว่าการพูดของเราควรปรับปรุงตรงไหน บุคลิกภาพควรเป็นอย่างไร เมื่อพอไปถึงหน้างานแล้ว เราจะได้มีข้อผิดพลาดให้น้อยมากที่สุดนั่นเองค่ะ สุดท้ายคือเราควรให้คะแนนตัวเองหลังจบงานทุกครั้ง มองหาสิ่งที่ผิดพลาดจากครั้งนี้ เพื่อนำไปพัฒนาต่อๆไป หากเราเป็นคนที่ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง ไม่ทำตัวให้เป็นน้ำเต็มแก้ว เราว่ามันจะทำให้คนที่มองเราเขาอยากจะดึงเราไปทำงานด้วยอีก ทุกคนไม่ได้เกิดมาเก่งหรือมีทักษะมาเต็มร้อย เราต่างเริ่มจากศูนย์กันทั้งนั้น ทุกคนสามารถเป็นพิธีกรที่ดีได้ค่ะ สู้ๆน้า
– ฝากถึงคนที่สนใจที่อยากจะเป็น DJ และ พิธีกร
จุดที่จีนยืนอยู่ทุกวันนี้ ถ้านับจากความฝันเต็มสิบ จีนยังอยู่แค่หนึ่งอยู่เลยค่ะทุกคน เราอยากชวนทุกคนมาเดินไปด้วยกันนะ สำหรับคนที่มีความฝันเหมือนเรา คุณจำไว้นะว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็น DJ หรือ พิธีกรที่เก่ง มีพรสวรรค์ด้านการพูดมาตั้งแต่เกิด สิ่งที่เราจำเป็นต้องมีนั่นคือ “ความตั้งใจ” ตั้งใจแล้วลงมือทำเลย ไม่ต้องกลัวอะไร อาจจะมีบ้างระหว่างทางที่เราเดินแล้วไปเจออุปสรรคหรือปัญหา ให้อย่าทิ้งความฝันนี้นะ เราเชื่อว่าทุกคนต้องมีความรู้สึกเหนื่อย จีนเคยคิดอยากหยุดฝันหลายครั้งมาก มันเกิดจากปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะเป็นคำวิจารณ์ การไม่กล้ายอมรับข้อผิดพลาดในตัวเอง ความไม่มั่นใจว่าตัวเองทำได้ จีนผ่านตรงนี้มาหมดแล้ว พอมองย้อนกลับไป เรารู้สึกดีมากนะที่เราได้เจอกับสิ่งเหล่านั้น เพราะทุกอย่างมันคือบทเรียนนะทุกคน เราควรเก็บบทเรียนที่ได้มาพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เรายังเชื่อในประโยคที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อยากให้ทุกคนสู้ต่อไปด้วยกัน แล้วเราอยากเห็นทุกคนอยู่บนเวทีไม่ก็จอทีวีด้วยกันนะ
– ฝากผลงาน
ไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสมาฝากผลงาน ฮ่าๆ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะสำหรับรายการเรียงคิวบันเทิง ของ Sanook New วันจันทร์ถึงวันศุกร์ตั้งแต่เวลา 16.00 น. – 16.30 น. (ไม่เจอจีนทุกวันแต่ก็เจอบ่อยอยู่) ต่อมาคือเราเคยทำ Youtube ของตัวเองไว้แล้วตอนนี้กำลังจะกลับไปทำให้บ่อยขึ้นก็ขอฝากด้วยสำหรับ Youtube ช่อง Jeen Haa ตอนนี้มีอยู่คลิปเดียว ก็แวะเวียนกันเข้าไปก่อน เดี๋ยวอีกเยอะๆจะตามมาจ้า สำหรับช่องทางการติดต่อก็สามารถไปแกล้งๆกด Follow กันมาได้ที่ IG : Jeenhaa เข้ามาพูดคุยกันได้ตลอดเลย ทุกวันนี้จีนก็รับงานเป็น Production Manager ให้กับงาน Music Video รวมถึงโฆษณาต่างๆด้วยค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจบนะคะทุกคน ตรงนี้จีนก็อยากขอบคุณโอกาสที่ให้จีนได้มาตอบคำถามกับทุกคน อย่างที่บอกว่าจีนเองก็ยังไม่ใช่พิธีกรที่เก่งเลย ยังต้องฝึกฝนอีกเยอะมากๆ แต่จีนว่าสักวันนึงจีนน่าจะเดินไปถึงฝันได้ แล้วก็ทุกคนด้วย จีนสนับสนุนให้ทุกคนมีความฝันนะ การได้เดินตามความฝัน ไปทีละก้าว มันก็สร้างสุขให้เราได้จริงๆ